วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เอกสารดาวน์โหลด



  
                                                                                                                                                                                

ประเพณีปักธงชัย

พิธีกรรม
สมัยโบราณ มีพิธีกรรมดังนี้
             ๑. เมื่อใกล้เทศกาลปักธงชัย เวลากลางคืนจะมีชาวบ้านที่เป็นชายเป็นผู้ตีฆ้องเดินนำหน้าพระภิกษุไปรับบิณฑบาต "ดอกฝ้ายสีขาว" จากนั้นสตรีสูงอายุในหมู่บ้านใกล้ๆ วัดเหนือ วัดกลาง และวัดหัวร้อง จะชักชวนชาวบ้านมาช่วยกันตากฝ้าย หีบฝ้าย ดีดฝ้าย และเข็นฝ้าย (ปั่นฝ้าย) เมื่อได้เส้นด้ายขาวนวลแล้วจึงช่วยกันทอธงผ้าขาว ๓ ผืน จาก ๓ หมู่บ้าน
              ๒. ในวันพิธีปักธงชัย ชาวอำเภอนครไทยจะนำอาหารหวานคาว และนิมนต์พระภิกษุขึ้นไปยังเทือกเขาช้างล้วง ถวายภัตตาหารเพล ผู้นำชาวบ้าน จะกล่าวคำถวายธงผ้าขาวต่อพระภิกษุด้วยภาษาบาลี พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา ชาวบ้านจะนำธงผ้าขาวมาผูกติดกับด้ามไม้ไผ่ นำไปปักบนร่องหินธรรมชาติ ณ ยอดเขาฉันเพล ยอดเขายั่นไฮ และยอดเขาช้างล้วงตามลำดับ หลังจากเสร็จพิธีปักธงชัยแล้ว ชาวบ้านจะเล่นดนตรีพื้นบ้านและฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนานลงมาจากยอดเขา

ปัจจุบัน มีพิธีกรรมดังนี้

                ๑. เมื่อใกล้เทศกาลปักธงชัย ชาวอำเภอนครไทยในหมู่บ้านใกล้วัดเหนือ วัดกลาง และวัดหัวร้อง จะช่วยซื้อฝ้ายและช่วยกันทอธงผ้าขาวขนาดกว้าง ๙๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๔ เมตร จำนวน ๓ ผืน จาก ๓ หมู่บ้านและทอเป็นลวดลายบริเวณชายธงอย่างสวยงาม
                 ๒. เวลาเช้าของวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๑๒ จะนำธงไปทำพิธีบวงสรวงที่อนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาวภาคบ่ายมีการประกวดริ้วขบวนจากทุกหมู่บ้าน กลางคืนจัดงานรื่นเริงฉลอง
                 ๓. รุ่งเช้าของวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตั้งริ้วขบวนรถยนต์ เคลื่อนไปตามถนนแล้วเดินผ่านคันนาขึ้นไปประกอบพิธีปักธงชัยเช่นเดียวกับในสมัยโบราณ ตอนกลางคืนจัดงานลอยกระทงและมีการละเล่นต่าง ๆ

สาระ

ประเพณีปักธงชัยเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีคุณค่า ทำให้ประชาชนรู้สึกผูกพันกับถิ่นฐานบ้านเกิด ซึ่งก่อให้เกิดความรัก สามัคคีและช่วยเหลือกัน และเชื่อว่าหากปีใดไม่ปฏิบัติประเพณีนี้ ชาวนครไทยจะเกิดภัยพิบัติจากโรคภัย ภัยธรรมชาติ หรือเกิดไฟไหม้บ้านเรือน


ความสำคัญ

ประเพณีปักธงชัย คือ ประเพณีที่ชาวนครไทยพร้อมใจกันนำธงผ้าขาว ๓ ผืนไปปักบนยอดเขาฉันเพลยอดเขาฮันไฮ หรือยอดเขาย่านชัย และยอดเขาช้างล้วง ที่ทำให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้ปฏิบัติ แสดงถึงพลังศรัทธาที่ชาวนครไทยมีต่อ "พ่อขุนบางกลางหาว"

ถ้ำกา





     

     เป็นถ้ำขนาดเล็กมีความกว้างประมาณ 25 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตรเศษอยู่ห่างจากตัวอำเภอนครไทยไปทางทิศเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร หน้าถ้ำมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น  พื้นถ้ำชื้นเพราะมีใบไม้ปกคลุมอยู่ ที่หลืบผนังถ้ำสูงกว่าระดับพื้นดินประมาณ 2 เมตร มีภาพสลักหินตามแนวลึกของผนังถ้ำยาวประมาณ  6  เมตร สลักเป็นภาพลายขูดขีด  หรือเส้นรูปกากบาดพาดกันไปมา  สลักลึกประมาณ 1 เซนติเมตร มีลักษณะคล้ายกับที่ภูพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี สันนิษฐานว่า    เป็นภาพแกะสลักหินของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะ

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ประวัติเมืองนครไทย


              ก่อนสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราช ธานี บรรพบุรุษไทยถูกขอมรุกราน จึงถอยร่น ราชานุสาวรีย์ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จากเวียงไชยปราการ จ.เชียงราย มารวมพลตั้งมั่นที่เมืองบางยาง คือ อ.นครไทย ในปัจจุบัน โดยมีพ่อขุนบางกลางหาว เป็น ผู้นำ โดยรวบรวมไพร่พลจนแข็งแกล่ง จึงร่วมกับพ่อขุผาเมือง เจ้าเมืองลาด(เมืองเพชรบูรณ์) ยกทัพ ไปตี เมืองศรีสัชนาลัย และเมืองสุโขทัย จนได้ชัยชนะจากขอม จึงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า "พ่อขุนศรีอินทราทิตย์" ครองเมืองสุโขทัย เป็นเอกราชประมาณ พ.ศ.1763 ปรากฎหลักฐาน ที่สำคัญคือ วัดกลางศรีพุทธาราม ซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก ที่ว่าการ อ.นครไทย ประมาณ 500 เมตร มีต้นจำปาขาวใหญ่ อยู่ต้นหนึ่งมีความ เชื่อกันว่า มีอายุมานานพร้อมกับ พ่อขุนบาง กลางหาว เริ่มสร้างเมืองบางยาง นั่นเอง ซึ่งพิสูจน์ แล้วว่า มีอายุประมาณ 700 ปีเศษ
               หลักฐานที่สำคัญ ว่าเมืองบางยางได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นครไทย" มีปรากฎอยู่ ต้นจำปาขาว ในพงศาวดาร ฉบับหลวง ประเสริฐ ว่าศักราช 839 ระกา(พ.ศ.2020) แรกตั้งเมือง นครไทย พ.ศ.2020 นี้เป็นระยะที่อยู่ในรัชสมัยของ สมเด็จพระ บรมไตรโลกนารถ ซึ่งพระองค์ทรงเป็น นักอักษรศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ ซึ่งได้จัดการปกครองบริเวณ หัวเมือง ต่างๆ นอกเมืองหลวงให้เป็นระเบียบแบบแผนที่แน่นอน เพื่อให้ง่ายแก่การ ปกครองควบคุม ตรวจตรา จึงได้ยกฐานะ เมืองบางยาง เป็นเมืองที่มีเจ้าเมืองปกครอง แล้วเปลี่ยน ชื่อใหม่ว่า "เมืองนครไทย" เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ซึ่งพระองค์ ทรงเปลี่ยน มาแล้ว เช่นเมืองสองแคว เป็นเมืองพิษณุโลก เมืองสระหลวงเป็นเมืองพระจิตร และเมืองทุ่งยั้งเป็นเมืองอุตรดิตถ์ เป็นต้น
               นับแต่ พ.ศ. 2020 เป็นต้นมา เมืองนครไทยก็มีฐานะเป็นเมืองที่มีเจ้าเมือง หรือผู้ว่าราชการเมือง ปกครองเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2472 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ลด ฐานะ เมืองนครไทยมาเป็น "อำเภอเมืองนครไทย" แล้วแต่งตั้งนายอำเภอเป็นผู้ปกครอง นายอำเภอคนแรก คือ หลวงพิทักษ์กิจบุรเทศ (เป๋า บุญรัตนพันธ์) และเป็นอำเภอนครไทย เมื่อ พ.ศ.2497 เพื่อให้เหมาะสมกับการ เรียก ชื่อตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน

                ที่ตั้ง : อำเภอนครไทย อยู่ห่างจากตัวจังหวัดพิษณุโลกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 96 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงเอเชียหมายเลข 12 สายพิษณุโลก-หล่มสัก เลี้ยวซ้ายตรงกิโลเมตรที่ 67 ผ่านตำบลบ้านแยงไปถึงอำเภอนครไทย 29 กิโลเมตร

                 อำเภอนครไทย มีพื้นที่ทั้งหมด 2,244.37 ตารางกิโลเมตร เป็นอำเภอที่มีเนื้อที่มากที่สุดในจังหวัดพิษณุโลก

เขตการปกครอง : อำเภอนครไทย แบ่งการปกครองออกเป็น 11 ตำบล ได้แก่
                1. ตำบลนครไทย
                2. ตำบลบ้านแยง
                3. ตำบลหนองกะท้าว
                4. ตำบลนาบัว
                5. ตำบลยางโกลน
                6. ตำบลนครชุม
                7. ตำบลน้ำกุ่ม
                8. ตำบลเนินเพิ่ม
                9. ตำบลบ่อโพธิ์
              10.ตำบลบ้านพร้าว 
              11.ตำบลห้วยเฮี้ย 

ต้นจำปาขาว



                                                       



                  ต้นจำปาขาว อยู่ในท้องที่อำเภอนครไทยบริเวณวัดกลางนครไทย เป็นต้นไม้ดอกประเภทไม้ยืนต้น มีขนาดใหญ่ ขนาดลำต้นวัดโดยรอบประมาณ 3 เมตรเศษ สูงประมาณ 9-10 เมตร ความแปลกที่แตกต่างจากต้นจำปาอื่นๆ คือ ต้นจำปาทั่วไป จะมีดอกเป็นสีเหลือง แต่ต้นจำปาต้นนี้ออกดอกเป็นสีขาวนวล มีกลิ่นหอมฟุ้งทั่วบริเวณวัด และถ้านำกล้าจำปาขาวไปปลูกที่อื่น ก็จะมีดอกเป็นสีเหลืองเหมือนดอกจำปาทั่วไป ดังนั้น จึงนิยมนำดอกจำปาขาวแช่ในน้ำบรรจุขวด เพื่อเป็นของที่ระลึก
     ประวัติความเป็นมา ของต้นจำปาขาว ชาวอำเภอนครไทยเชื่อกันว่า พ่อขุนบางกลางท่าวทรงปลูกไว้ เมื่อครั้งครองเมืองบางยาง(นครไทย) ต้นจำปาขาวจึงมีอายุประมาณ 700 ปีเศษ
                 นอกจากนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงบันทึกเรื่องราวของต้นจำปาขาวว่า พ่อขุนบางกลางท่าวเจ้าเมืองบางยาง ทรงปลูกไว้เป็นอนุสรณ์คู่บ้านคู่เมือง ของเมืองบางยาง ซึ่งได้ปลูกไว้ที่วัด ๆ หนึ่งทางทิศตะวันตกของพระอุโบสถวัดดังกล่าวนี้ ปัจจุบันก็คือ วัดกลางศรีพุทธาราม ดังนั้น จึงประมาณได้ว่า ต้นจำปาขาวปลูกก่อน ปี พ.ศ.1806
      หม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล พระธิดาของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จมาอำเภอนครไทย เมื่อเดือนมิถุนายน 2497 ได้ตรัสถามว่า "ต้นจำปาขาวที่อยู่ทางทิศตะวันตกของพระอุโบสถวัดกลางห่าง7 วา นั้นยังอยู่ไหม" และได้เสด็จทอดพระเนตรต้นจำปาขาว

      
              ต้นจำปาขาว ได้รับการดูแลรักษาเนื่องจากลำต้นบางส่วนเป็นโพรงผุกร่อน ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2528 เป็นต้นมา ปัจจุบันใต้ต้นจำปาขาวมีพระรูปของพ่อขุนบางกลางท่าว ซึ่งชาวนครไทยจัดพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 12 เป็นประจำทุกปี

พ่อขุนศรีอินทราทิตย์




พ่อขุนศรีอินทราทิตย์





พระบรมนามาภิไธย: พ่อขุนบางกลางหาว (เจ้าเมืองบางยาง)
พระปรมาภิไธย: กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์
ราชวงศ์: ราชวงศ์พระร่วง
ระยะครองราชย์: 29 ปี

ข้อมูลส่วนพระองค์
พระมเหสี: พระนางเสือง
พระราชโอรส/ธิดา: มีพระราชโอรสและพระธิดารวม พระองค์

       พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือพระนามเต็ม กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ พระนามเดิม พ่อขุนบางกลางหาว (ไม่ใช่ กลางท่าว) ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งประวัติศาสตร์ไทย ครองราชสมบัติ ตั้งแต่ พ.ศ. 1792 (คำนวณศักราชจากคัมภีร์สุริยยาตรตามข้อเสนอของ ศ. ประเสริฐ ณ นครและ พ.อ.พิเศษ เอื้อน มณเฑียรทอง) แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการสวรรคตหรือสิ้นสุดการครองราชสมบัติปีใด มีผู้สันนิษฐานที่มาของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จากคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ว่าบ้านเดิมของพระองค์อาจอยู่ที่ "บ้านโคน" ในจังหวัดกำแพงเพชร

พระนาม

1.บางกลางหาว
2.ศรีอินทราทิตย์
3.อรุณราช
4.ไสยรังคราช หรือสุรังคราช หรือไสยนรงคราช หรือรังคราช
5.พระร่วง หรือโรจนราช

       สำหรับพระนามแรก คือ พ่อขุนบางกลางหาวนั้น เป็นพระนามดั้งเดิมเมื่อครั้งเป็นเจ้าเมืองบางยาง พระนามนี้ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า พ่อขุนบางกลางหาวเป็นพระนามสมัยเป็นเจ้าเมืองบางยางโดยแท้จริง

       พระนามที่สองนั้น เป็นพระนามที่ใช้กันทางราชการ เป็นพระนามที่เชื่อกันว่าทรงใช้เมื่อราชาภิเษกแล้ว คำว่าศรีอินทราทิตย์นั้น ไมมีปัญหา เพราะมีบ่งอยู่ในศิลาจารึก แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ คำที่นำหน้า คำว่า "ศรีอินทราทิตย์" เพราะเรียกแตกต่างกันไปว่า ขุนศรีอินทราทิตย์บ้าง พ่อขุนศรีอินทราทิตย์บ้าง พระเจ้าศรีอินทราทิตย์บ้าง และบางทีก็เรียกพระเจ้าขุนศรีอินทราทิตย์